วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การประกันภัยตามพระราชบัญญัติฯ


ประกันภัยรถตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.)
การที่รัฐออกกฎหมายกำหนดให้รถทุกคันต้องจัดให้มีประกันภัย อย่างน้อยที่สุด คือ การทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยมีวัตถุประสงค์
-เพื่อคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบภัยจากรถ ที่ได้รับบาดเจ็บ/ เสียชีวิต เพราะเหตุประสบภัยจากรถ โดยให้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงทีกรณีบาดเจ็บ หรือช่วยเป็นค่าปลงศพกรณีเสียชีวิต
-เป็นหลักประกันให้กับโรงพยาบาล / สถานพยาบาลว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาล ในการรับรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากรถ
-เป็นสวัสดิสงเคราะห์ที่รัฐมอบให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย เพราะเหตุประสบภัยจากรถ
-ส่งเสริมและสนับสนุนให้การประกันภัยเข้ามามีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือนร้อน แก่ผู้ประสบภัยและครอบครัว
รถประเภทใดที่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ.
รถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ได้แก่รถทุกชนิดทุกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร ที่เจ้าของมีไว้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ ไม่ว่ารถดังกล่าวจะเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถยนต์โดยสาร รถบรรทุก หัวรถลากจูง รถพ่วง รถบดถนน รถอีแต๋น ฯลฯ ดังนั้น การที่มีรถบางประเภท กรมการขนส่งทางบกไม่รับจดทะเบียน แต่หากเข้าข่ายว่ารถนั้นเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่นแล้วก็จัดเป็นรถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ.
รถประเภทใดที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ.
พรบ. คุ้มครอง ฯ กำหนดประเภทรถที่ไม่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ไว้ดังนี้
+รถสำหรับเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ พระรัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
+รถของสำนักพระราชวังที่จดทะเบียน และมีเครื่องหมายตามระเบียบที่เลขาธิการพระราชวังกำหนด
+รถของกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการต่าง ๆ รถยนต์ทหาร
+รถของหน่วยงานธุรการขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานธุรการ ที่เป็นอิสระขององค์กรใด ๆ ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
ใครมีหน้าที่ต้องทำประกันภัยรถ / โทษการไม่ทำประกันภัย
>ผู้มีหน้าที่ต้องทำประกันภัยรถ ได้แก่ เจ้าของรถผู้ครอบครองรถในฐานะผู้เช่าซื้อรถ และผู้นำรถที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศ
>การฝ่าฝืนไม่จัดให้มีการทำประกันภัยรถ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 กำหนดให้ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.
- ผู้ประสบภัย อันได้แก่ ประชาชนทุกคนที่ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสารคนเดินเท้า หากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถ ก็จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. นี้
-ทายาทของผู้ประสบภัยข้างต้น กรณีผู้ประสบภัยเสียชีวิต
ผู้มีหน้าที่รับประกันภัย/โทษของการไม่รับประกันภัย
< ผู้มีหน้าที่ต้องรับประกันภัย คือ บริษัทประกันวินาศภัยที่รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยรถ ประชาชนสามารถทำประกันภัยรถ พ.ร.บ. ได้ที่บริษัทประกันภัยข้างต้นรวมถึงสาขาของบริษัทนั้น ๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ที่รับประกันภัยเฉพาะรถจักรยานยนต์ มีสาขาให้บริการทั่วประเทศ
< บริษัทใดฝ่าฝืนไม่รับประกันภัยรถตาม พ.ร.บ. คุ้มครอง ฯ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 50,000 บาท ถึง 25,000 บาท
อัตราเบี้ยประกันภัย พ.ร.บ.
-กำหนดเป็นอัตราเบี้ยประกันภัยสูงสุด (ขั้นสูง) อัตราเดียว แยกตามประเภทรถ และลักษณะการใช้รถ บริษัทไม่สามารถคิดเบี้ยประกันภัยเกินกว่าที่กำหนดได้
-ประเภทรถ เช่น รถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง ฯลฯ
-ลักษณะการใช้รถ แบ่งเป็น 2 ลักษณะการใช้ คือ ส่วนบุคคล และรับจ้าง/ให้เช่า เช่น รถเก๋ง คือ ประเภทรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน หากการใช้รถเป็นรถส่วนบุคคล เบี้ยประกันภัย 600 บาท (ไม่รวมภาษีอากร) หากลักษณะการใช้รถเป็นรถรับจ้างหรือให้เช่า เบี้ยประกันภัย เป็น 1,900 บาท (ไม่รวมภาษีอากร)
ความคุ้มครองเบื้องต้นตาม พ.ร.บ.
ผู้ประสบภัย จะได้รับความคุ้มครองในความเสียหายที่เกิดขึ้น เป็นค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บ เป็นค่าปลงศพในกรณีเสียชีวิต โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด บริษัทจะชดใช้ให้แก่ผู้ประสบภัย/ทายาทของผู้ประสบภัย ภายใน 7 วัน นับแต่บริษัทได้รับคำร้องขอ ค่าเสียหาย ดังกล่าว เรียกว่า ค่าเสียหายเบื้องต้นโดยมีจำนวนเงิน ดังนี้
+กรณีบาดเจ็บ จะได้รับการชดใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
+กรณีเสียชีวิต จะได้รับการชดใช้เป็นค่าปลงศพ และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ จำนวน 35,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เมษายน 2546 เป็นต้นมา)
+กรณีเสียชีวิตภายหลังการรักษาพยาบาล จะได้รับการชดใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท และค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เมษายน 2546 เป็นต้นมา) รวมแล้วจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท
ค่าเสียหายส่วนเกินกว่าค่าเสียหายเบื้องต้น
+เป็นค่าเสียหายที่บริษัทจะชดใช้ให้ภายหลังจากที่มีการพิสูจน์ความรับผิดตามกฎหมายแล้ว โดยบริษัทที่รับประกันภัยรถที่เป็นฝ่ายผิด ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ประสบภัย/ทายาทผู้ประสบภัย เมื่อรวมกับค่าเสียหายเบื้องต้นที่ผู้ประสบภัย/ทายาทได้รับแล้ว เป็นดังนี้
+กรณีบาดเจ็บ เป็นค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามความเป็นจริงไม่เกิน 50,000 บาท
+กรณีเสียชีวิต หรือสูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพ จำนวน 200,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เมษายน 2546 เป็นต้นมา) ไม่ว่าจะมีการรักษาพยาบาลหรือไม่
รถ 2 คัน ชนกัน ผู้ประสบภัยเป็นผู้โดยสาร พ.ร.บ. คุ้มครองเท่าใด
-กรณีรถตั้งแต่ 2 คัน ขึ้นไป ชนกัน ต่างฝ่ายต่างมีประกันตาม พ.ร.บ. และไม่มีผู้ใดยอมรับผิดในเหตุที่เกิด ผู้ประสบภัยที่เป็นผู้โดยสารจะได้รับความคุ้มครองตามหลักการสำรองจ่าย
-กรณีบาดเจ็บ บริษัทจะสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามใบเสร็จ จำนวนเงินไม่เกิน 50,000 บาท
ต่อคน แก่ผู้ประสบภัย
-กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพอย่างถาวร บริษัทจะสำรองจ่ายทดแทน/ค่าปลงศพ จำนวน 200,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เมษายน 2546 เป็นต้นมา) ต่อคน แก่ทายาทผู้ประสบภัย
ความคุ้มครองกรณีอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี
+กรณีผู้ประสบภัย ที่เป็นผู้ขับขี่และเป็นฝ่ายผิดเอง หรือไม่มีผู้ใดรับผิดตามกฎหมายต่อผู้ขับขี่ที่ประสบภัย ดังนี้ ผู้ประสบภัยที่เป็นผู้ขับขี่จะได้รับความคุ้มครองไม่เกินค่าเสียหายเบื้องต้น กล่าวคือ หากบาดเจ็บจะได้รับค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 15,000 บาท หรือเสียชีวิตจะได้รับค่าปลงศพ จำนวน 35,000 บาท หรือเสียชีวิตภายหลังรักษาพยาบาลจะรับค่าเสียหายเบื้องต้นไม่เกิน 50,000 บาท
+กรณีผู้ประสบภัย ที่เป็นผู้โดยสาร/บุคคลภายนอกรถ จะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายไม่เกิน 50,000 บาท กรณีบาดเจ็บ และ 200,000 บาท (เฉพาะกรมธรรม์คุ้มครองตั้งแต่ 1 เมษายน 2546 เป็นต้นมา) กรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ/ทุพพลภาพอย่างถาวร (ทั้งนี้ ผู้ขับขี่รถที่บริษัทรับประกันภัยไว้ต้องเป็นฝ่ายรับผิดตามกฎหมาย)
ข้อพึงปฏิบัติเมื่อประสบภัยจากรถ
เมื่ออุบัติเหตุรถยนต์เกิดขึ้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ หรือผู้พบเห็น ควรปฏิบัติ ดังนี้
กรณีมีผู้บาดเจ็บ
1.นำคนเจ็บเข้ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและสะดวกที่สุดก่อน
2.แจ้งเหตุที่เกิดให้ตำรวจทราบ และขอสำเนาประจำวันตำรวจเก็บไว้
3.แจ้งเหตุบริษัทประกันภัยทราบ แจ้งวัน เวลา สถานที่เกิดเหตุ
4.เตรียมเอกสาร อาทิ ถ่ายสำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถคันเกิดเหตุ ภาพถ่ายสำเนาบัตรประชาชน หรือหลักฐานอื่นใดที่ออกโดยราชการ กรณีเมื่อเรียกร้องค่าเสียหาย
5.ให้ชื่อ ที่อยู่ ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์เพื่อช่วยเหลือในการเป็นพยานให้แก่คนเจ็บ
ข้อพึงปฏิบัติของสถานพยาบาลเมื่อรับผู้ประสบภัย
เมื่อสถานพยาบาลรับผู้ประสบภัยที่ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ควรปฏิบัติ ดังนี้
1. ให้การรักษาพยาบาลทันที
2. ทำประวัติคนไข้ และขอสำเนาบัตรประจำตัวคนเจ็บ
3.  ขอสำเนาประจำวันตำรวจ
4. บันทึกชื่อบริษัทประกันภัย ของสำเนากรมธรรม์ประกันภัย
5. บันทึกชื่อ ที่อยู่ ผู้นำคนเจ็บส่งเข้ารักษาพยาบาล
อย่างไรจึงจะได้รับความคุ้มครองในกรณีสูญเสียอวัยวะ/ทุพพลภาพ
ผู้ประสบภัยจากรถที่ต้องสูญเสียอวัยวะ/ทุพพลภาพอย่างถาวร ที่จะได้รับจำนวนเงินความคุ้มครอง 200,000 บาท ในกรณีใดกรณีหนึ่ง ต่อไปนี้
1. ตาบอด
2. หนูหนวก
3. เป็นใบ้ หรือเสียความสามารถในการพูด หรือลิ้นขาด
4. สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์
5. เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด
6. จิตพิการอย่างติดตัว
7.  ทุพพลภาพอย่างถาวร
การยื่นขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ประสบภัย ผู้ประสบภัย/ทายาทต้องยื่นคำร้องขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น
ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ความเสียหายเกิดขึ้น โดยยื่นคำร้องต่อบริษัทประกันภัย / บริษัทกลางคุ้มครอง
ผู้ประสบภัยจากรถ ฯ หรือสำนักงานกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยกรณีไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหาย จากบริษัทประกันภัยได้ พร้อมหลักฐาน ดังนี้
1.ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาล / สถานพยาบาล
2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือหลักฐานอื่นใดที่ทางราชการเป็นผู้ออกให้ ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้มีชื่อในบัตรเป็นผู้ประสบภัย
3. สำเนากรมธรรม์ประกันภัย หรือ เครื่องหมายที่แสดงว่ารถมีประกันภัย
4. สำเนาใบมรณะบัตร กรณีเสียชีวิต
5. สำเนาบันทึกประจำวันตำรวจ
6. สำเนาทะเบียน และสำเนาบัตรประจำตัวของทายาทกรณีผู้ประสบภัยเสียชีวิต
บริษัท กลางผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด
บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด เป็นบริษัทประกันวินาศภัย ตั้งขึ้นโดยกฎหมาย คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2540 มีวัตถุประสงค์เพื่อทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับคำร้อง และจ่ายค่าสินไหมทดแทนตาม พ.ร.บ. แทนบริษัทประกันภัย มุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประสบภัย ที่ไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทที่รับประกันภัยรถคันที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ บริษัท กลาง ฯ ยังรับประกันภัยตาม พ.ร.บ. เฉพาะรถจักรยานยนต์ โดยปัจจุบันมีสาขาให้บริการทุกจังหวัดแล้ว
กองทุนทดแทนผู้ประสบภัยคืออะไร
+กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
+มีหน้าที่ จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย หากผู้ประสบภัยไม่ได้รับการชดใช้จากบริษัท
ประกันภัย/เจ้าของรถที่ไม่จัดให้มีประกันภัย หรือไม่สามารถเรียกร้องจากที่ใดได้ เช่น รถชนแล้วหนี เจ้าของรถที่ไม่จัดให้มีประกันภัยไม่จ่ายค่าเสียหาย ฯลฯ การยื่นขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นจากกองทุน ฯ ผู้ประสบภัย / ทายาท ต้องยื่นภายใน 180 วัน นับแต่วันเกิดเหตุ
การยื่นขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นจากกองทุน
ผู้ประสบภัย/ทายาท สามารถยื่นคำร้องขอรับเสียหายเบื้องต้น จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย ได้ที่
1.สำนักงานกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย กรมการประกันภัย
2.สำนักงานประกันภัยจังหวัดทุกจังหวัด
3.สำนักงานคุ้มครองผู้เอาประกันภัยเขต 4 เขต
การบอกเลิกกรมธรรม์
การบอกเลิกกรมธรรม์ มี 2 กรณี
1.บริษัทบอกเลิก
1.ต้องแจ้งการบอกเลิกเป็นหนังสือ ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ตอบรับถึงผู้เอาประกันภัย
2. ต้องแจ้งการบอกเลิกนั้นไปยังนายทะเบียน ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่บริษัทส่งหนังสือบอกเลิก ไปยังผู้เอาประกันภัย
3. บริษัทจะคืนเบี้ยประกันภัย โดยหักเบี้ยประกันภัยสำหรับระยะเวลาที่กรมธรรม์ได้ใช้บังคับมา แล้วออกตามส่วน
4. บริษัทต้องส่งเครื่องหมายคืนนายทะเบียน/ทำลายเครื่องหมายนั้นให้ใช้การไม่ได้ ภายใน 15 วัน นับแต่วันครบกำหนด 30 วัน ที่บริษัทได้บอกเลิก
2.ผู้เอาประกันภัยบอกเลิก
1.ต้องแจ้งให้บริษัททราบเป็นลายลักษณ์อักษร และมีสิทธิได้รับเบี้ยประกันภัยคืนตามอัตราเบี้ยประกันภัยที่ระบุ
2. ผู้เอาประกันภัย ต้องส่งเครื่องหมายคืนนายทะเบียน / ทำลายเครื่องหมายนั้นให้ใช้การไม่ได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยบอกเลิก
3. กรณีผู้เอาประกันภัยบอกเลิก บริษัทต้องแจ้งการบอกเลิกให้นายทะเบียนทราบเป็นหนังสือภายใน 7 วัน นับแต่วันที่กรมธรรม์สิ้นผลบังคับ 
..................................................................



ความรู้เรื่องรหัสรถในการทำประกันภัย

นะชาลีติ ประสิทธิลาภา นะชาลีติ ประสิทธิลาภา นะชาลีติ ประสิทธิลาภา

ความรู้เรื่องรหัสรถในการทำประกันภัย
การทำประกันจะต้องทำประกันให้ตรงกับการใช้งานจริง ไม่ได้อ้างอิงการจดทะเบียนรถ เพราะรถบางคันจดทะเบียนส่วนบุคคลแต่ว่าใช้งานรับจ้างหรือให้เช่า เช่น รถตู้ที่ใช้รับจ้างรับส่งนักเรียน พนักงานบริษัท หรือ รถเก๋งแท็กซี่ป้ายดำต่างๆ ซึ่งถ้าทำประกันส่วนบุคคลแล้วใช้งานรับจ้างก็จะเป็นการทำประกันผิดประเภทการ ใช้งาน บริษัทปฏิเสธความรับผิดชอบได้ แต่ถ้าทำประกันแบบรับจ้างแล้วเอามาใช้งานส่วนบุคคล ถือว่าไม่ผิดประเภท เพราะถ้าซื้อประกันรหัสที่แพงกว่าถือว่าครอบคลุมอยู่แล้วครับ
รถยนต์บรรทุก 6 ล้อ หรือ 10 ล้อก็เหมือนกัน ที่ทำประกันแบบบรรทุกรหัส 320 ถ้าใช้ลากจูงด้วยจะต้องทำประกันแบบลากจูงเป็นรหัส 420 เพราะถ้าทำรหัส 320 แล้วนำไปลากจูงจะเป็นการทำประกันผิดประเภท แต่ถ้าทำประกัน 420 หากถอดตัวพ่วงออกแล้วนำมาใช้บรรทุกก็คือว่าครอบคลุมแล้วเพราะราคาประกันรหัส 420 จะแพงกว่ารหัส 320
รหัสรถยนต์ภาคสมัครใจ และลักษณะการใช้รถ
  1. รถเก๋ง รกระบะ 4 ประตูไม่ต่อสองแถว ป้ายสีขาวตัวอักษรสีดำ (รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 ที่นั่ง) รหัส 110 คือรถยนต์ใช้ส่วนบุคคลไม่ใช้รับจ้างหรือให้เช่า     รหัส 120 คือรถยนต์ใช้เพื่อการพาณิชย์ หรือ รถจดทะเบียนบุคคลแต่ใช้งานรับจ้าง (ไม่ประจำทาง) หรือ รถยนต์ให้เช่า
   2. รถกระบะแคปและไม่แคป ป้ายสีขาวตัวอักษรสีเขียว (รถยนต์บรรทุกไม่เกิน 3 ตัน) รหัส 210 คือรถยนต์ใช้ส่วนบุคคล ไม่กั้นโครงเหล็ก ไม่ติดหลังคา บางบริษัทใช้รหัส 320 (เน้นการใช้งานโดยสาร) รหัส 320 คือรถยนต์บรรทุกใช้เพื่อการพาณิชย์ รับจ้างหรือให้เช่า (เน้นใช้งานบรรทุก) รหัส 340 คือรถยนต์บรรทุกใช้เพื่อการพาณิชย์ ใช้บรรทุกวัตถุอันตราย เช่น ก๊าช น้ำมัน วัตถุไวไฟ
   3. รถตู้โดยสาร ป้ายสีขาวตัวอักษรสีฟ้า (รถยนต์โดยสารส่วนบุคคล) รหัส 210 คือรถยนต์โดยสารใช้ส่วนบุคคล ไม่ใช้รับจ้างหรือให้เช่า ชื่อบุคคลหรือชื่อบริษัทแต่ใช้ประจำตำแหน่ง     รหัส 220 คือรถยนต์โดยสารพาณิชย์ใช้รับจ้างรับส่งพนักงานบริษัท นักเรียน วิ่งทัวร์ต่างๆ หรือชื่อบริษัทไม่ใช้ประจำตำแหน่ง
   4. รถตู้โดยสาร ป้ายสีเหลือง ตัวอักษรเป็นตัวเลขทั้งหมด ตัวเลขสีดำ (รถยนต์โดยสารรับจ้าง) รหัส 220 คือรถยนต์โดยสารใช้รับจ้างรับส่งพนักงานบริษัท นักเรียน วิ่งทัวร์ต่างๆ     รหัส 230 คือรถยนต์โดยสาร ใช้รับจ้างประจำทาง รับจ้างสาธารณะ


สมัครทำธุรกิจขายประกันรถ...คลิ๊ก  

เช็คเบี้ยด่วน...คลิ๊ก 

ซื้อประกันราคาสมาชิก...คลิ๊ก


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร.065-957-8828 / 061- 6832389

Line: Marnote27

............................................................................
............................................................................
 ............................................................................

วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถยนต์



วีธีปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถยนต์
       1.     โทรแจ้งบริษัทฯทันที
2.  รายละเอียดที่ต้องแจ้ง
     - ทะเบียนรถ - หมายเลขกรมธรรม์
     - ชื่อผู้ขับขี่ - หมายเลขโทรศัพท์ผู้ขับขี่
     - วันเวลาที่เกิดเหตุ - สถานที่เกิดเหตุ หรือบริเวณที่เห็นได้ง่าย
     - ลักษณะการเกิดอุบัติเหตุ - ทะเบียนรถ จังหวัด ยี่ห้อ สีรถ คู่กรณี
3. หลังจากโทรแจ้งแล้ว ให้รอ ณ ที่เกิดเหตุ โดยปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่บริษัทฯ
4. ไม่ควรเคลื่อนย้ายรถ เว้นแต่
     - มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดำเนินการ 

     - รู้ผิดถูกแน่นอน และมีหลักฐาน เช่น บันทึกยอมรับผิด 
5. หากมีการเคลื่อนย้ายรถ ต้องแจ้งให้บริษัทฯ ทราบ
6. ไม่ตกลงยินยอม หรือสัญญาว่าจะชดใช้ใด ๆ ก่อนได้รับความเห็นชอบจากบริษัท ฯ
7. กรณีการจัดซ่อมรถประกันต้องทำการตกลงราคา ค่าซ่อมกับบริษัท ฯ ก่อน หรือเข้าซ่อมอู่ในสัญญาของบริษัท ฯ
8. หากมีข้อสงสัยควรติดต่อบริษัท ฯ เพื่อความถูกต้อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของบริษัท ฯ
  กรณีเป็นฝายผิด 
1. กรุณาอย่าหลบหนี เพราะท่านอาจไม่ใช่ผู้กระทำผิด การหลบหนีอาจเป็นเหตุให้ต้องโทษในคดีอาญาเพิ่มขึ้น
2. ควรแยกรถเพื่อไม่ให้กีดขวางทางจราจร

 
 กรณีเป็นฝ่ายถูก
1. หากรถคู่กรณีมีประกันภัย ให้คู่กรณีแจ้งบริษัทประกันภัยของตนเองด้วย
2. ถ้าคู่กรณีไม่ยอมรับผิด ให้จดยี่ห้อ รุ่น สี หมายเลขทะเบียน และหมวดจังหวัดไว้
3. ไม่ควรแยกรถจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดำเนินการ หรือคู่กรณียอมรับผิดโดยให้เอกสารหลักฐาน เช่น บันทึกยอมรับผิด
4. ถ้าคู่กรณีหลบหนี ให้ไปดำเนินการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนและลงบันทึกประจำวัน โดยให้พนักงานสอบสวนรับเป็นคดี ไม่แจ้งเป็นหลักฐาน โดยต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับรถคู่กรณีให้ได้มากที่สุด
5. กรณีมีทรัพย์สินในรถของท่านเสียหาย ต้องแจ้งความลงบันทึกประจำวัน เพราะท่านต้องเรียกร้องเองโดยตรง

 
การใช้เอกสารแบบฟอร์มชนแล้วแยกแลกใบเคลม (Knock for Knock)
เพื่อความสะดวก และรวดเร็ว โดยที่ท่านไม่จำเป็นต้องรอพนักงานบริษัท ฯ สามารถใช้เอกสารชนแล้วแยกแลกใบเคลม (Knock for Knock) โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
      1. หากรถคู่กรณีเป็นรถสี่ล้อที่ทำประกันภัย ประเภท 1 ที่มีเอกสาร Knock for Knock ไม่ว่าจะเป็นบริษัทฯ ใดก็ตาม โดย
- เป็นรถสี่ล้อที่มีน้ำหนักรถรวมบรรทุกไม่เกิน 3 ตัน หรือ
- รถที่จดทะเบียนที่นั่งไม่เกิน 15 ที่นั่ง
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูกให้ออกเอกสาร "KNOCK FOR KNOCK" ให้คู่กรณีได้เลย โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้
1.1 กรอกข้อความรายละเอียดต่าง ๆ ลงในเอกสาร "KNOCK FOR KNOCK" ให้ครบถ้วน
1.2 ให้ผู้ขับขี่ทั้งสองฝ่าย ลงลายมือชื่อในเอกสาร แล้วแลกเปลี่ยนกับเอกสารของคู่กรณี
1.3 แยกย้ายจากที่เกิดเหตุได้ทันที
1.4 นำเอกสารที่ได้จากคู่กรณี มาติดต่อบริษัทฯ เพื่อดำเนินการแจ้งเหตุและจัดซ่อมต่อไปกรณีตกลงกันไม่ได้ว่า ใครเป็นฝ่ายผิดใครเป็นฝ่ายถูกให้ดำเนินการดังนี้
- ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อทำเครื่องหมาย ณ ที่เกิดเหตุ แล้วเคลื่อนรถออกจากที่เกิดเหตุ
- แจ้งบริษัทฯ โดยทันที
2.  หากรถคู่กรณีไม่มีประกัน หรือมีประกันภัยประเภทอื่น ที่มิใช่ประเภท 1 ให้ออกเอกสาร "ใบยินยอมรับผิด" ให้คู่กรณีโดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้
หากท่านเป็นฝ่ายผิด
- ให้ท่านกรอกรายละเอียดลงในใบยินยอมรับผิดและลงชื่อท่าน
- กรอกรายละเอียดของคู่กรณี, รายละเอียดความเสียหาย และให้คู่กรณีลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน
- ฉีกตัวจริงให้คู่กรณี เพื่อมาติดต่อบริษัทฯ ต่อไป
หากท่านเป็นฝ่ายถูก
- ให้คู่กรณีกรอกรายละเอียด หรือท่านกรอกเอง
- ลงชื่อทั้งคู่ไว้เป็นหลักฐาน ฉีกสำเนาให้คู่กรณี และเก็บตัวจริงไว้เพื่อติดต่อบริษัทฯ ต่อไป
- หากท่านมีข้อสงสัย โปรดติดต่อบริษัทฯ
กรณีรถหาย
- รีบแจ้งให้บริษัทฯ ทราบทันที
- รีบแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใกล้ที่สุด หรือ 191 ในทันทีที่พบว่ารถหาย

สมัครทำธุรกิจขายประกันรถ...คลิ๊ก  

เช็คเบี้ยด่วน...คลิ๊ก 

ซื้อประกันราคาสมาชิก...คลิ๊ก


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร.065-9578828 / 061- 6832389

Line: Marnote27